เรขาคณิตวิเคราะห์ ตอนที่ 2: ว่าด้วยจุด
จุด
ตอนเด็กๆ การเขียนจุดคือการเอาดินสอจิ้มลงไปหนึ่งครั้งบนกระดาษ ออกแรงกดอย่างเดียวโดยไม่ต้องลากไปมา เราก็จะได้จุดตามต้องการ จะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าออกแรงมากน้อยขนาดไหน หรือถ้าต้องการจุดใหญ่มากก็จะต้อง “ฝน” วงกลมเล็กๆให้เต็มวง ซึ่งอนุโลมเรียกว่าจุดได้
ที่ว่ามาคือวิธีเขียนจุดบนกระดาษ ไม่ได้บอกว่าจุดคืออะไร
แล้วจุดคืออะไรล่ะ ?
ในทางคณิตศาสตร์ ถ้าเราอุตริไปบอกว่าจุดคือ “สิ่งที่เขียนได้โดยวิธีการข้างต้น เริ่มจากการใช้ดินสอจิ้ม… ฯลฯ” เราจะพบว่าจุดของแต่ละคนหน้าตาไม่เหมือนกัน เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เบี้ยวๆ รีๆบ้างก็มี … หรือถ้าเปลี่ยนใหม่โดยบอกว่าจุดคือ “ตำแหน่งที่เส้นตรงสองเส้นตัดกัน” เราจะพบปัญหาว่าต้องไปอ้างถึงเส้นตรงต่อไปอีก ก็จะมีคำถามว่า “แล้วเส้นตรงคืออะไร” “ตัดกันแปลว่าอะไร” และ “ตำแหน่งคืออะไร” ทำไปทำมาก็จะพบว่าการนิยามจุดมันยากเหลือเกิน ต้องใช้ความรู้เกือบทั้งหมดที่เรามีเพื่ออธิบายของง่ายๆ …แค่จุด
นักคณิตศาสตร์แก้ปัญหาด้วยวิธีเดิม … คือตกลงกันว่า “จุด” เป็นสิ่งที่ไม่ต้องนิยาม คือเชื่อมั่นแน่นอนว่าทุกคนเข้าใจตรงกันว่าจุดคืออะไร ให้ใครมาชี้ก็ชี้ได้ว่าอันนี้ใช่จุด อันนั้นไม่ใช่จุด … จุดจึงเป็น “อนิยาม” ตั้งแต่นั้นมา
แต่การให้ความหมายไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ต้องเรียนมัน
กลับกัน มีเรื่องมากมายเกี่ยวกับจุดที่จะได้เรียนในวิชาคณิตศาสตร์ ยกเว้นเรื่องเดียวเท่านั้นแหละ คือคำถามว่า “จุดคืออะไร”
จุดในวิชาเรขาคณิต หน้าตาเป็น “คู่อันดับ” ซึ่งประกอบด้วยจำนวนจริงสองตัวเขียนเรียงกันในวงเล็บ คั่นด้วยลูกน้ำตรงกลาง หมายถึงพิกัดตามแนวแกน x และแกน y ตามลำดับ
ค่า x หรือเลขตัวแรกในคู่อันดับ บอกว่าจุดของเรานั้นอยู่ทางซ้ายหรือทางขวาของจุดกำเนิด (จุดที่แกน x และ y ตัดกัน) เป็นระยะทางเท่าไหร่ ส่วนค่า y ก็บอกว่าจุดของเราอยู่ด้านบนหรือด้านล่างของจุดกำเนิดเป็นระยะทางเท่าไหร่ เช่น (1,5) แปลว่าจุดนี้อยู่ทางขวาของจุดกำเนิด วัดไป 1 หน่วย และอยู่ด้านบนของจุดกำเนิด วัดขึ้นไปจากเมื่อกี้อีก 5 หน่วย
เหตุที่เราต้องใช้ตัวเลขถึงสองตัวในการเรียกจุดหนึ่งจุดเป็นเพราะ “จุดเดียวไม่พอใช้” ในระนาบ ถ้าบอกตัวเลขแค่ค่าเดียวเราจะบอกได้แต่ระยะทาง โดยไม่รู้ว่าต้องเดินอย่างไร ซึ่งการบอกเลขสองตัวให้เดินซ้าย – ขวา – ขึ้น – ลงนั้นเพียงพอต่อการใช้งานในระนาบ ก็เลยตกลงกันว่าให้ใช้คู่อันดับในการบอกตำแหน่งจุดหนึ่งจุด
ถึงจุดจะมีหน้าตาเป็นคู่อันดับ แต่จุด “ไม่ใช่” คู่อันดับนะ งงไหม…
การเรียกจุดด้วยคู่อันดับเป็นการบอก “คุณสมบัติ” อันหนึ่งของจุดหนึ่งจุด คือบอกว่าจุดนั้น “อยู่ตรงไหน” (ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าจุดคืออะไรอยู่ดี)
คู่อันดับยังถูกนำไปใช้ที่อื่น ซึ่งไม่ได้หมายความถึงจุดเลยก็มี เช่น ในเรื่องทฤษฎีจำนวน เราสามารถเขียน (A, B) หมายถึง “ตัวหารร่วมมากของ A และ B” ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันในวิชานั้น ทำให้ช่วยยืนยันได้ว่าจุดกับคู่อันดับไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราแค่ใช้คู่อันดับมาเป็นชื่อเรียกของจุดในวิชานี้เท่านั้นเอง
จุดกำเนิด
อันที่จริงแกน x และ y ก็คือเส้นจำนวนสองเส้นมาวางตั้งฉากกันโดยให้เลข 0 ของทั้งสองเส้นมาเจอกันพอดี ตรงจุดที่แกน x และ y ตัดกันเรียกว่าจุดกำเนิดจึงมีพิกัดเป็น (0,0)
จุดกำเนิดทำตัวเป็น “ศูนย์กลาง” และเป็น “มาตรฐาน” ให้จุดอื่นๆทั้งหมดบนระนาบนี้มาวัดค่าเปรียบเทียบกับมัน นั่นคือการจะบอกว่าอะไรอยู่ตรงไหนบนแกนพิกัดฉาก (บน ล่าง ซ้าย ขวา) ตำแหน่งของมันจะถูกวัดโดยเทียบกับจุดกำเนิดเสมอ
เดาเอาว่าทำไมมันถึงชื่อว่าจุดกำเนิด
มีสองคำอธิบายที่ฟังดูดีทั้งคู่ คำอธิบายชุดแรกคือ ในวิชาฟิสิกส์ จะยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “เวกเตอร์” ซึ่งวางอยู่บนแกนพิกัดฉากเหมือนกัน การเรียกเวกเตอร์ใช้สัญลักษณ์คล้ายๆการเรียกจุด เช่นเขียนว่า <1,5> แปลว่าเวกเตอร์ที่มีองค์ประกอบแนวนอน 1 หน่วย แนวตั้ง 5 หน่วย หรือเป็นเวกเตอร์ที่มี “หัวลูกศร” อยู่ที่จุด (1,5) และ “หาง” อยู่ที่ (0,0) โดยไม่จำเป็นต้องเขียนตำแหน่งหางให้เห็น การถือเอาจุด (0,0) เป็นหางนี้ถือเป็นมาตรฐาน แปลว่าจะสร้างเวกเตอร์ใดๆก็ตามจะมี “หาง” (หรือจุดที่เริ่มลากเส้น) จาก (0,0) ออกไปเสมอ ถ้าจะโยงเข้าเรื่องนี้ก็คงพูดได้ว่าจุด (0,0) เป็น “ที่เกิด” หรือ “จุดกำเนิด” ของเวกเตอร์ทั้งหลาย
อีกคำอธิบายนึงคือ ถ้าเราได้เรียนการสร้างรูปภาคตัดกรวยในครึ่งหลังของบทนี้ จะพบว่าสมการรูป “อย่างง่าย” ของแต่ละรูปนั้นให้รูปที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุด (0,0) ทั้งนั้นเลย ก่อนที่เราจะเลื่อนแกนเพื่อเคลื่อนย้ายรูปไปอยู่ที่อื่น จึงน่าจะพูดได้ว่าจุด (0,0) เป็น “บ้านเก่า” หรือ “ที่เกิด” ของรูปเรขาคณิตอย่างง่ายได้เหมือนกัน
เซตของจุด
ในบทเรียนเรื่องเซต เราได้รู้ว่าเซตนั้นเป็นกล่องวิเศษ ใส่อะไรลงไปก็ได้ทั้งนั้น รวมถึงใส่ “จุด” ก็ได้ การสร้างรูปเรขาคณิต (รวมทั้งรูปทุกชนิดที่วางอยู่บนแกนพิกัดฉาก) ทำได้โดยการเรียงจุดจำนวนมากมายนับไม่หวาดไม่ไหวให้อยู่ติดๆกันจนดูแล้วกลายเป็นเส้นขึ้นมา เส้นที่ได้นี้จะเป็นรูปอะไรขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่บังคับให้จุดเรียงตัวกัน ซึ่งก็คือ “สมการ” นั่นเอง
ในเรื่อง “ความสัมพันธ์” เรานิยามว่าความสัมพันธ์คือเซตของคู่อันดับซึ่งสมาชิกตัวหน้าอยู่ในเซตหนึ่ง สมาชิกตัวหลังอยู่ในอีกเซต สมาชิกตัวหน้าและตัวหลังจะ “เกี่ยวดอง” กันด้วยอะไรบางอย่าง ซึ่งมักจะคือสมการนั่นเอง นั่งดูดีๆสักพักก็จะรู้ว่า “เซตของจุด” ซึ่งวาดเป็นรูปเรขาคณิตได้ในบทนี้…มันคือ “ความสัมพันธ์” ดีๆนี่เอง
ในบทเรขาคณิตวิเคราะห์จะไม่ค่อยได้ใส่ใจฐานะ “ความสัมพันธ์” ในบทก่อนหน้าสักเท่าไหร่ แต่จะข้ามขั้นไปเป็นการเชื่อมโยงระหว่างสมการกับรูปกราฟที่สมการนั้นให้ออกมา (ซึ่งที่จริงรูปนั้นคือกราฟของความสัมพันธ์นั่นแหละ) การคิดคำนวณก็จะวนอยู่กับเรื่องสมการ รูปที่วาดได้จากสมการ และสมบัติต่างๆของรูปเหล่านั้น เรขาคณิตวิเคราะห์บอกเราว่า ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้ เราสามารถหาอีกสองอย่างที่เหลือได้ เช่นให้ข้อมูลของรูปวงรีมาว่ากว้าง – ยาวเท่าไหร่ เราสามารถจะหาสมการวงรีได้โดยไม่ต้องวาดรูปเลย หรือถ้าให้สมการพาราโบลามา เราสามารถหาจุดยอด จุดโฟกัส ฯลฯ ได้โดยไม่ต้องวาดรูปอีกเช่นกัน