จักรยานกลางเมืองหลวง
ผมขี่จักรยานเป็นตอน ป.3 หัดขี่พร้อมกับคนข้างบ้านซึ่งเป็นลูกสาวร้านขายจักรยาน
แต่ถึงจะขี่เป็นมานานแล้ว ก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านไกลๆ โดยจักรยานเลย
ผมโตมากับฝันที่อยากมีจักรยานคันใหญ่ๆ เอาไว้ขี่จริงจังไปโรงเรียน รอบเมือง หรือรอบประเทศไทย ถ้าจะให้เจ๋งสุด ต้องเป็นจักรยานมีเกียร์ด้วย เรื่องนี้เป็นความประทับใจที่ไปลองยืมรถเกียร์ข้างบ้านมาลองใช้ดู ซึ่งใช้แล้วติดใจมาก ก็เลยมีของเล่นชื่อ “จักรยานมีเกียร์” จดไว้ในรายการของที่อยากได้เป็นอันดับต้นๆ มาตลอด
ฝันนั้นเพิ่งจะมาเป็นจริงเอาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากฝันมาได้ 15 ปี
เป็นเสื้อภูเขาคันเขื่องๆหน่อย (จริงๆก็ใหญ่ทีเดียวแหละ) มีโช้คล้อหน้า กับเกียร์หน้า 3 เกียร์หลัง 7 ระดับ งานหลักๆของจักรยานคันนี้คือพาผมจากหอไปยังคณะวิทย์ตอนเช้า และพากลับมาตอนเย็นเกือบทุกวัน
แต่นอกจากนั้นมันก็พาผมเที่ยวด้วย
ตั้งแต่สยาม ศิริราช คลองถม วัดพระแก้ว หัวลำโพง ไปมาหมดแล้ว ขนาดศาลายาก็เคยไป
และถ้ามันไม่ “หาย” ไปซะก่อน ผมคงไปเที่ยวทั่วกรุงเทพแล้ว
ผมว่าชีวิตบนหลังจักรยานเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก มันได้อรรถรสอีกแบบหนึ่งของการเดินทาง แตกต่างจากการเดิน หรือนั่งรถเมล์ หรือแม้แต่มอเตอร์ไซค์ พาหนะที่น่าจะคล้ายๆกัน
มันสนุกเพราะมันเป็นจักรยาน …เอาอะไรมาแทนก็ไม่เหมือน
ผมทำการบ้านพอสมควรกว่าจะได้จักรยานคันนี้มา
ไม่ได้ดูรุ่น ราคา หรือสเปคใดๆ เพราะคันที่ไปซื้อมาเป็นจักรยานมือสอง ขนลงเรือมาจากญี่ปุ่นทีละหลายๆพันคัน คันละไม่กี่พันบาท
ที่ต้องเตรียมตัวก่อนไปซื้อคือเหตุผลว่า “ทำไมผมถึงควรจะใช้จักรยาน”
เพราะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนรอบข้างที่รู้เรื่องนี้พูดประโยคแรกตรงกันว่า “มันอันตราย”
เรื่องนี้กว่าจะได้คำตอบ ต้องใช้ไปสักพักแล้วถึงจะพิสูจน์ได้
มันก็อันตรายจริงๆนั่นแหละ ผมไม่เถียงเลย เพราะรถเกือบทุกคันบนถนนล้วนแต่ติดเครื่องยนต์กันหมด อะไรที่ติดเครื่องยนต์สามารถแล่นปาด – เฉี่ยว – ชน – ทับ – บดขยี้จักรยานได้เก่งพอๆกับที่มันสามารถปล่อยควันพิษมาทำลายปอดของคนขี่จักรยานได้เหมือนกัน
แต่ผมก็เชื่อด้วยว่ามันมีวิธีทำให้อันตรายน้อยลง
ผมเลยไปแต่งองค์ทรงเครื่องให้มันเพียบพร้อม ติดกระจกมองหลัง ไฟหน้า ไฟท้าย ใส่ผ้าปิดจมูกเวลาต้องออกถนนใหญ่นานๆ ที่จริงกำลังจะซื้อหมวกด้วย ถ้ามันไม่หายไปซะก่อน
และยังทำตามกฎจราจรเคร่งครัด เหมือนรถคันนึงเวลาอยู่บนถนน แล้วก็ทำตัวเหมือนคนเดินเท้าเวลาอยู่บนขอบทาง
ยิ้มให้จราจรบ้าง ยิ้มให้คนขับรถเก๋งข้างๆที่ติดแหง็กอยู่ในรถเวลาติดไฟแดงยาวๆ ส่วนผมเลาะๆๆๆไปได้เรื่อยๆ ทั้งหมดนี้ทำให้เรื่องที่ดูอันตราย มันน่ากลัวน้อยลง
มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่ได้มีใครท้วงติงอะไร และออกจะไปยืดอกเล่าให้ใครๆฟังอย่างภูมิใจด้วยซ้ำ
ผมอยากใช้ชีวิตให้เป็น “มิตรกับสิ่งแวดล้อม” มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
เอาจริงๆคือ… ผมซื้อจักรยานมาปั่นให้คนอื่นดู เผื่อจะมีใครลองหันมาทำตามบ้าง
การมีคนปั่นจักรยานเพิ่มขึ้นหนึ่งคัน และเอารถยนต์ออกไปจากถนนหนึ่งคัน อาจจะไม่ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้าวันนี้มีคนปั่นจักรยาน “ให้ดู” สักห้าคน โอกาสที่พรุ่งนี้จะเพิ่มเป็นสิบก็ย่อมมากกว่าการที่วันนี้ไม่มีเลยสักคัน
เพื่อนๆหลายคนอยากมีจักรยานบ้าง แต่ที่ไม่กล้ามี เพราะเหตุผลเดียวกันคือ รถมันเยอะจนน่ากลัว แต่ถ้าสักวันเรามีทางจักรยาน หรือ (อาจจะฝันไปไกลกว่านั้น) มีถนนที่รองรับจักรยานอย่างเดียว ผมว่ามีคนอีกเยอะทีเดียวที่เลือกจักรยานก่อนอย่างอื่น
ปัญหาคือ…ก่อนจะมีทางจักรยาน มันต้องมีคนใช้จักรยานเยอะๆก่อน
และมันจะเกิดขึ้นไม่ได้กลางเมืองหลวงแห่งนี้ ถ้าไม่มีคน “กล้า” เอาจักรยานลงไปร่วมวงอย่างสนุกสนานกับรถบนท้องถนน
ผมเคยเจอเพื่อนร่วมทางกลางถนน เป็นลุงสูงอายุ กับอีกคนเป็นหนุ่มวัยทำงานที่น่าจะแก่กว่าผมนิดหน่อย เราสามคนไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่ได้คุยกัน แค่บังเอิญเจอกัน แล้วปั่นจักรยานเรียงกันไป ผมรู้สึก (ไปเองหรือเปล่าไม่รู้) ว่ามันปลอดภัยขึ้นกว่าปั่นคนเดียว ไม่ได้มีใครหันมาสนใจมองเป็นพิเศษ แต่รถทั้งหลายที่วิ่งแซงเราไปดูเหมือนจะ “เกรงใจ” ขบวนจักรยานน้อยๆนี้อยู่บ้างเหมือนกัน
วินาทีนี้ ถ้าใครเริ่มโน้มเอียงมาทางจักรยานบ้างแล้ว… ก็อยากให้ไปเปิดดูหนังสือเกี่ยวกับเรื่องโลกร้อน ทุกเล่มจะบอกคล้ายๆกันว่า วิธีเดินทางที่ “เขียว” (คือยังคงรักษาความเขียวของโลกเอาไว้) ที่สุดคือการเดิน กับถีบจักรยาน แม้ว่าการก้าวออกมาลองใช้จักรยานใน “สถานที่แบบนี้” ออกจะเสี่ยงอยู่สักหน่อย แต่ถ้าเราคิดถึงภาพใหญ่ๆหลังจากนั้น…
จักรยานก็น่าจะยังเป็นคำตอบอันดับต้นๆอยู่ดี